เทคนิควิธีการปลูกและการดูแลผักหวานป่าเพื่อให้ออกตลอดทั้งปีว่า ทางฟาร์มเน้นปลูกจากการเพาะเมล็ดเป็นหลัก เนื่องจากจะได้ต้นผักหวานป่าที่มีรากเดินดีและแข็งแรง อีกทั้งจะมีชีวิตอยู่ได้นานเป็น 100 ปี สามารถเก็บผลผลิตได้ชั่วลูกชั่วหลาน
สำหรับชาผักหวานป่า มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด โรคมะเร็ง เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินซี และสารประกอบฟีนอลิก ดื่มง่าย ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
สำหรับขั้นตอนการปลูกก็ไม่ยาก เริ่มจาก
- รองก้นหลุมด้วยขี้วัว
- ปลูกหลังจากเพาะกล้าเมล็ดได้สัก 1 เดือน
- ขุดหลุมปลูกไม่ต้องให้ลึกมาก
- ระยะปลูกที่แนะนำ 1×1 เมตร จะได้จำนวน 400 ต้น ต่อไร่ และระยะ 2×2 เมตร จะได้ 200 ต้น ต่อไร่
- ต้นอ่อนต้องครอบด้วยกระถางหรือเข่งไม้ไผ่ ให้ต้นกล้าผักหวานป่าต้นอ่อนโดนแสงแดดน้อย เป็นเวลา 1 ปี
- หลังปลูกเสร็จ ต้องให้น้ำประมาณ 1 เดือน ก่อนที่ฤดูฝนจะมาถึง
- ในฤดูกาลแตกยอดเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมของทุกปี ในช่วงที่ต้องการให้ผักหวานป่าออกยอด ควรตัดแต่งกิ่ง
- ให้ขี้วัว ขี้หมู ขี้ไก่ ปีละ 2-3 ครั้ง
- พ่นน้ำหมักชีวภาพหัวปลีฉีดพ่นยอดผักหวานป่า จะทำให้ยืดยาวได้น้ำหนัก
ช่วงที่เหมาะแก่การปลูกในพื้นที่ราบดอนประมาณเดือนเมษายน-เดือนพฤษภาคม เมื่อได้รับน้ำสม่ำเสมอผักหวานป่าจะเจริญเติบโตเร็ว ถ้าพื้นที่ปลูกเป็นเนินเขา ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก จะต้องปลูกประมาณเดือนมิถุนายน ซึ่งเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน เจ้าของอมรฟาร์มบอกว่า การปลูกผักหวานป่าหลายคนบอกว่า ปลูกง่าย ดูแลยาก ตายง่าย โตช้า มีแนวโน้มตายมากกว่ารอด แต่จากประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาของทางฟาร์ม ค้นพบเทคนิคการปลูกผักหวานป่าให้รอด และโตไวด้วยวิธีธรรมชาติแบบง่ายๆ ดังนี้
- ปลูกในพื้นที่ป่าที่มีอยู่แล้ว เช่น ป่าเต็งรัง สวนป่า
- ผักหวานป่าชอบแดดรำไร ชอบมีต้นไม้พี่เลี้ยง เช่น ตะขบ มะขามเทศ ยางนา ขี้เหล็ก มะม่วง ประดู่
- ที่ดินเหมาะแก่การปลูก ต้องเป็นที่เนิน ดอน ภูเขา น้ำไม่ท่วมขัง
- การบริหารจัดการน้ำเป็นสิ่งสำคัญในการปลูกผักหวานป่า เช่น ห้ามน้ำท่วมขัง ให้น้ำในหน้าแล้ง ต้องวางระบบน้ำให้ดี
สำหรับการดูแลต้นผักหวานป่าให้ได้ใบดกและดี มีหลายปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง อย่างเช่น ระวังหนู และแมงอีนูน หนอนจาะแทะต้น ระวังน้ำขัง รากเน่า ฝนฟ้าพายุ และระวังอย่าเหยียบหรือกระแทกต้นผักหวานบ่อยๆ
ขั้นตอนการเพาะเม็ดผักหวานป่า
- ทำการลอกเปลือกเหลืองๆออก โดยใช้ถุงมือขยี้เม็ดกับทรายเพื่อให้เปลือกออกง่าย
- ล้างเม็ดด้วยน้ำเปล่า ให้เหลือแต่แกนข้างใน
- นำไปผึ่งลมในกระจาด( ห้ามเอาเม็ดตากแดด ) ผึ่งลมไว้2วัน เม็ดก็เริ่มแห้ง
- นำเม็ดแห้งไปหมักทรายก่อสร้างไว้ ที่สำคัญเอาหัวจุกหงายขึ้น ภาชนะที่ใส่ น้ำต้องไหลผ่าน
- รดน้ำทุก2วัน (ถ้ารดทุกรากจะเน่า)
- ประมาณ 7-10 วัน รากแก้วจะเริ่มงอก
- ค่อยๆคุ้ยเม็ดที่ออกรากแล้ว ออกมาจากทราย แล้วนำมาปักชำใส่ถุงดำ
- ชำใส่ถุงดำ ที่มีดินร่วนผสมขุยมะพร้าว
- ชำไว้ประมาณ1เดือน ก็ปลูกลงดินได้เลยครับ